วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

 

โลกที่หมุนไป เราต้องอยู่ได้บนแรงโน้มถ่วง

by

| Home » บทความดีๆ » บทความน่าอ่านและเรื่องราวดีๆ » Outside The Circle » โลกที่หมุนไป เราต้องอยู่ได้บนแรงโน้มถ่วง |


โลกหมุนไปทุกวัน เราทราบดี แต่สิ่งที่เราไม่รู้หรืออาจเพียงลืมไป คือ เราต้องใช้ชีวิตไปตามโลก วันคืนที่สลับไปตามการหมุนของโลกนั้น มันหมายถึงสิ่งที่ต้อง เกิดขึ้น จางหาย ได้มา สูญเสีย ชดใช้ ไม่ต่างกับ แสงแดด ก้อนเมฆ สายลม น้ำขึ้นน้ำลง ที่แปรผันตามการหมุนของโลกเช่นกัน

 โลกจริงที่หมุนไป

แต่ละวันที่เราต้องกิน-ใช้ ต่อคำถามที่ว่าทำไมข้าวของแพงขึ้นทุกวัน อาจเป็นคำถามที่คนวัย 25+ เริ่มรู้สึกและไม่ค่อยชอบใจนักกับสิ่งของที่เคยคุ้นเริ่มมีราคาที่แตกต่าง แต่หากวัย 40 ขึ้นไป แม้ไม่ได้รู้สึกดีแต่ก็คงเลิกสงสัยและยอมรับได้ว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น “ค่าครองชีพ” เป็นเพียงสิ่งที่ได้มาและหายไปของหลายคน เพราะ “ต้องกิน” และ “จำเป็นต้องใช้” นี่คือสิ่งแรกที่ต้องเข้าใจว่าโลกหมุนไป เราหยุดไม่ได้หากชีวิตยังต้องดำเนิน

หลายคนก้าวเดินไปข้างหน้า หางาน ทำเงิน เพื่อที่จะคว้าสิ่งที่อยากได้มาให้ได้ บางทีโลกก็หมุนไปให้เราได้มาจนวันหนึ่ง แต่ก็หลงลืมไปว่า โลกมันไม่ได้หยุดเดินในวันที่เราได้มา หลังจากวันนั้นมันก็เสื่อมค่า เสื่อมถอย ผุพัง เสียหาย เปลี่ยนสภาพไปตามกาลเวลา เช่น การกว่าจะมีรถสักคัน เมื่อได้มาแล้วใช้ไป หากมองอย่างเข้าใจ แม้จะผ่อนหมดหรือซื้อเงินสดมา เราก็จะระลึกได้ว่า ก็ยังคงต้องทำเงิน เพื่อจะได้มีรถคันใหม่มาแทนที่คันนี้ แต่ถ้าลืมคิด หรือไม่เคยคิด เมื่อวันที่รถมันเก่า รถมันเริ่มไม่ไหว สิ่งที่ทำได้ก็เพียงทนใช้ไปเพราะไม่มีเงินที่จะมาซื้อ มาดาวน์รถคันใหม่มาแทนที่

การมุ่งหน้าจนได้อะไรมาสิ่งหนึ่งแล้วก็มุ่งไปคว้าสิ่งอื่นต่อไป เมื่อโลกหมุนไปนานขึ้น อาจทำให้สิ่งที่มีเริ่มจางหาย สิ่งใหม่ก็ยังไม่ได้มา เรี่ยวแรงจะมุ่งหา 2-3 สิ่งให้ได้พร้อมกันนั้น มันไม่ง่ายเลย และเป็นเรื่องธรรมดาที่ยิ่งมีรายได้ ยิ่งได้มาก ยิ่งต้องจ่ายมากขึ้นตามกันหากไม่ได้เฉลียวใจ “ก็หมุนไม่ทัน”

กับสิ่ง “ที่ไม่ใช่สิ่งของ” ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก หรือความสัมพันธ์ การที่โลกหมุนไปย่อมทำให้หลายปัจจัยเปลี่ยนแปลง ความจำเป็น ระยะทาง ปัจเจก ความจำเพาะบุคคล มิอาจหยุดนิ่งให้ไม่มีสิ่งใดส่งผลต่อเราหรือใคร ดังเช่น ตุ๊กตาตัวเก่า เสื้อตัวเก่ง แม้จะโทรมแค่ไหนเรายังรู้สึกดีกับสิ่งนั้นได้ก็จริงอยู่ แต่วันหนึ่งมันก็จะมีภาวะที่เป็นไป เช่น ของเล่นชิ้นที่เคยโปรดแค่ไหน โตมาก็ใช่ว่าจะรู้สึกดีหากไปนั่งเล่นกับมัน (เพราะโตแล้ว) ผ้าห่มผืนน้อย เสื้อตัวโปรด ที่เราไม่เคยรังเกียจแม้จะเก่าแค่ไหน แต่ก็คงรู้สึกไปได้ไม่ตลอด ไม่ต่างกับความสัมพันธ์ต่อสิ่งมีชีวิตที่ย่อมมีปัจจัยทำให้แยกออกจากกัน เป็นเรื่องยากที่จะใช้ชีวิตกับเพียงบางสิ่งตลอดไปเสมือนไม่มีสิ่งใดสำคัญอีกแล้วบนโลกนี้  เพื่อนรัก คนสนิท ครอบครัว ล้วนผูกติดไว้ไม่ได้ตลอดไป แล้วบางทีในมุมเขาเหล่านั้นก็อาจเป็นฝ่ายไม่ต้องการเราก่อนอีกด้วย

และนี่คือโลกแห่งความเป็นจริง ที่มันต้องหมุนไป พ้องไปกับที่กล่าวกันว่าเราจะถอยหลังเมื่อหยุดนิ่ง มันก็จริงอย่างไม่ต้องสงสัย

แรงโน้มถ่วง

แม้เราจะรู้หรือเข้าใจกันดีอยู่ว่าโลกจริงต้องหมุนไป คล้ายชีวิตต้องดำเนินต่อไป แต่โลกก็ยังมีอีกสิ่งที่เรียกว่า แรงโน้มถ่วง ที่ทำให้ทุกอย่างมีน้ำหนักและติดอยู่กับโลกนี้ เปรียบได้ว่าในทุกการเคลื่อนไหวเราต้องออกแรงเพื่อที่จะ ลุก เดิน หรือก้าวไป ไม่เพียงเท่านั้นมันยังทำให้เรา “เจ็บ” อีกด้วยถ้าล้มลง การมีบางสิ่งมาถ่วงให้เราหนัก ก็เหมือนดังอุปสรรคฉุดไว้ให้เดินลำบาก…

หากแค่ตัวเราลำพังการแค่หมุนตามโลกอาจไม่ลำบากนัก แต่เราล้วนมีความรู้สึก มีความขี้เกียจ มีปมในใจ มีคนรอบข้าง มีสังคม สิ่งแวดล้อม กระทั่งความผิดพลาดในอดีตของเราเอง เหล่านี้คือสิ่งที่ ถ่วง ให้ไม่ได้เดินหน้าไปได้ง่าย ๆ ใครปลดเปลื้องได้ ปล่อยวางได้ จัดการได้ดีกว่า ย่อมเบาตัวกว่าไปได้ง่ายไปได้เร็วกว่า…

คนอยู่เฉย ๆ ย่อมไม่เหนื่อย คนเดินเหนื่อยน้อยกว่าคนวิ่ง คนวิ่งอาจเหนื่อยน้อยกว่าคนที่ต้องแบก เราล้วนต้านแรงโน้มถ่วงที่ไม่เท่ากัน หากเลือกจะอยู่เฉยโลกก็จะเคลื่อนที่หนีไปอยู่ดี…

เมื่อโลกหมุน อายุ อันหมายถึงสภาพร่างกาย เงินเฟ้อ อันหมายถึงความมั่นคง และความรู้สึกอันหมายถึงความสัมพันธ์ เหล่านี้เสื่อมถอยเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกก็ต้องยอมรับทำความเข้าใจ และอยู่ได้บนแรงโน้มถ่วงเช่นนี้…

อาจพูดได้เพียงว่า เป็นกำลังใจให้เรา มนุษย์โลก…

https://siricแหล่งอ้างอิง haiwatt.com/%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b9%86/%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b9%86/outside-the-circle/%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%9b%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87#google_vignette

 

                     ชีวิตรัก กับ ชีวิตคู่

by

| Home » บทความความรัก » ชีวิตรัก กับ ชีวิตคู่ |


ถ้าบอกว่า “ชีวิตคู่ มันไม่ใช่แค่รักกัน” คนที่เคยผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้างย่อมพยักหน้า หรือประโยคที่ว่า “พออยู่ด้วยกัน มันไม่เหมือนแค่ตอนเป็นแฟนกัน” อาจทำให้พอเข้าใจบางอย่างได้ดีขึ้น…

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดูมีประโยชน์หรือน่าสนใจอะไรกับผู้ที่ “เคยผ่านภาวะต้องเข้าใจ” มาแล้ว แต่คนที่ไม่เคยหรือย้อนนึกไปตอนที่เรายังไม่เจอเหตุการณ์ ประสบการณ์ หรือบทเรียนที่ทำให้เราเข้าใจ มันเป็นเรื่องที่ยากจะมองเห็นหรือรู้ตัวได้ในตอนนั้น…

หลายคู่แรกเริ่มคบกันต่างเคยมีเวลาให้กัน ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกัน แต่ทุกอย่างมีเวลา มีขั้น มีภาวะของมัน และบนคำว่า “ชีวิตคู่” นั้นก็สรุปยากว่ามันเริ่มตรงไหน ส่วน “ชีวิตรัก” นั้นมันต่างกันอย่างไร อยู่ด้วยกันไม่ต้องรักกันแล้วงั้นหรือ อะไรคือความต่าง?

ช่วงที่ดีที่สุดของการคบกัน

ผมจำเหตุการณ์หนึ่งได้ดี ที่เป็นครั้งแรกทำให้ฉุกคิดมุมนี้ ตอนนั้นเป็นสมัยเรียนมัธยม จำไม่ได้ว่าบทสนทนานี้เริ่มจากตรงไหน แต่มีเพื่อนคนหนึ่งถามครูคณิตศาสตร์ (ผู้หญิงสถานะโสด) ว่าทำไมครูยังไม่แต่งงาน (ที่จริงก็แอบซุปซิบกันว่าครูคนนี้คบกับครูอีกท่านหนึ่งอยู่) ครูตอบว่า “แต่งทำไม มีแต่แฟนนี่ดีที่สุดแล้ว…” ครูพูดไปยิ้มไปอธิบายทำนองว่า ภาวะเป็นแฟน เราจะงอนเขาก็ง้อ อยากได้อะไรเขาก็จะตามใจ ยิ่งตอนมาจีบ ได้ทุกอย่าง ครูพูดเหมือนติดตลกว่า “ไม่แต่งหรอกมีแฟนไปเรื่อย ๆ ดีกว่า” เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ก็คล้อยตามถึงข้อดีรวมถึงผม ทั้งที่ในเวลานั้นเราล้วนไม่มีประสบการณ์อะไรเรื่องเหล่านี้กันมากนัก

ยากจะปฏิเสธว่านี่คือช่วงที่ดีที่สุดของการคบกัน อาจสรุปไม่ได้ทางภาษาว่าช่วง “เป็นแฟน” เพราะเราใช้คำว่า “แฟน” ได้ในทุกสถานะ แต่คงเข้าใจไม่ยากว่าคือช่วง “ใหม่ ๆ” ซึ่งก็ตัดสินไม่ได้อีกต่างหากว่า “ยังใหม่” ใช้เวลานานเท่าใด บางคู่ เพียงเดือนเดียว บางคู่เป็นปี อยู่ที่การใช้เวลา การมีระยะต่อกัน และนิสัยใจคอของแต่ละฝ่าย

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด

แต่ช่วงนี้คือช่วงที่ต่างทั้งมีอารมณ์ลุ่มหลง ต่างดื่มด่ำ ต่างมองแต่สิ่งดี ๆ ต่างพร้อมที่จะให้ และยอม ซึ่งหากพิจารณาแล้วสิ่งที่แสดงออกในตอนนั้นมีหลายเรื่องที่อาจเป็นสิ่งชั่วคราว และนั่นจึงทำให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดด้วยเช่นกัน

ชีวิตรัก กับ ชีวิตคู่

กล่าวกันแบบไม่คิดมากทางข้อจำกัดของภาษา “ชีวิตรัก” คือการใช้ชีวิตร่วมกันในช่วงภาวะที่มีอารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวข้องสูงและเพิ่งคบกันไม่นาน ส่วน “ชีวิตคู่” คือการใช้ชีวิตในภาวะที่ปกติแบบชีวิตต้องดำเนินไป ใช่ว่าสองแบบนี้จะแยกกันขาดชัดเจนหรือเป็นขั้วตรงข้ามกัน แต่น้ำหนักของบางอย่างจะเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปได้เสมอ

ช่วงชีวิตรัก : เหตุผล และปัจจัย ของตัวเราจะน้อยกว่าหรือบางทีแทบจะไม่มีเลย ลืมไปเลย พร้อมจะยอม จะมอบ จะแบ่งให้เขา ความสำคัญของเรื่องอื่น/คนอื่นดูจะน้อย

แหล่งอ้างอิงhttps://sirichaiwatt.com/%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81/%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81-%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%84%e0%b8%b9%e0%b9%88

 

เป้าหมายระยะสั้น อาจสำคัญกว่าต้อง SMART

บ่อยครั้งกับเรื่อง “เป้าหมาย” ที่บทความหรืออะไรที่เกี่ยวกับการพัฒนาตนเองมักเน้นเสมอ และอาจได้ยินบ่อย ๆ ว่า เป้าหมายที่ดีต้อง SMART* หลายคนอาจเริ่มเบื่อ หลายคนเริ่มสงสัยว่าสำคัญขนาดนั้นหรือ หลายคนเริ่มเข้าใจ แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเป้าหมายแบบไหน ก็มักคล้ายก่อกองทรายที่ไม่นานก็พังทลายลง เพราะบางทีเป้าหมายระยะสั้นอาจจำเป็นกว่า

ขอยกตัวอย่างแบบกระชับ “อยากมีเงินเก็บ 1 ล้านไหม?” สำหรับคนที่ยังติดลบ, เดือนชนเดือน หรือแต่ละเดือนเหลือไม่กี่ร้อย คงตอบว่า “อยาก.. (แบบถอนหายใจ)” เพราะมันสะท้อนถึงความรู้สึกไกลเกินจริง นี่คืออุปสรรคแรก ทันทีที่เรามองปัจจุบัน ก็ประเมินได้ว่า “อย่าดีกว่า” กับเป้าหมายนั้น ซึ่งก็ใช่ อะไรที่เกินตัวมันดูเพ้อฝัน

ครั้นพอบอกว่า “อยากมีเงินเก็บ 5 พันไหม?” เราคนเดิมก็ส่ายหัว เพราะรู้สึกเสียเวลา แค่นี้แป๊บเดียวก็หาได้ ซึ่งก็ใช่… แต่เอ๊ะ!! มันย้อนแย้งไหม? ในเมื่อเดิมแต่ละเดือนเหลือไม่เท่าไรแล้วทำไม 5 พันคิดว่าทำได้ คำตอบในหัวอาจมีหลากหลาย แต่อย่างหนึ่งที่คงแอบคิดในใจคือ “ก็มันไม่มากเท่าไร..”

คำถามที่อยากชวนคิดต่อ แล้วก่อนจะไป 1 ล้านเราต้องผ่าน 5 พันก่อนไหม?.. ใช่มันต้องผ่าน!

อีกคำถามต่อเนื่อง แล้ว 200 ล่ะมากไหม?.. เทียบกับ 1 ล้าน หรือ 5 พัน มันก็ไม่มากอะไร

งั้น.. คิดดูนะ 5 พัน 200 ครั้ง มันก็ได้ 1 ล้านแล้ว…

ถึงตรงนี้ หลายคนอาจใจพองขึ้นมา หลายคนฉุกคิด หลายคนพยักหน้า สรุปเลยแล้วกันว่า อย่าเพิ่งไปคิด 1 ล้าน คิดเก็บทีละ 5,000 ไปให้ได้สักพักก็ใกล้เคียงความจริงได้แล้ว ความเป็นไปได้ชัดเจนขึ้นไหม?

เป้าหมายระยะสั้น และ ระยะยาว

จากตัวอย่างคงพอเห็นได้ว่า เป้าหมายแท้จริงมักยาว, ไกล, และยิ่งใหญ่เสมอ เพราะถ้ามันเป็นเรื่องเล็กเรื่องง่าย เราก็ไม่อยากนับมันว่าเป็นเป้าหมายคล้ายกับ 5 พัน และนั่นเอง คือสิ่งที่หลงลืมไป เพราะแท้ที่จริงแล้วสำหรับหลายคน ก่อนจะ 5 พันมันก็ต้อง 5 ร้อยมาก่อน เราจะเดิน 10 กิโล ก็ต้องมีก้าวแรกมาก่อน จะว่าไปเรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้ แต่มันสำคัญตรง “ทัศนคติ” และมุมมองต่อเป้าหมาย ที่ไม่ต้องอาศัยเรื่อง S.M.A.R.T. ก็ได้ด้วยซ้ำ

ถ้าเป้าหมายระยะยาวมันอยู่ไกล เสมือนเห็นทางไกลแล้วท้อ ก็อย่าเพิ่งไปเพ่ง ไปมองมากนัก แต่ต้องมีไว้ มิเช่นนั้นเราก็ไม่สามารถแบ่งมันออกมาตั้งเป็น “เป้าหมายระยะสั้น” ที่พอให้เรามองเห็นได้, ตั้งใจ และทำได้ อาจเป็นเหมือนหลักกิโลที่สะสมระยะทาง ซึ่งการสะสมใด ๆ สิ่งที่ยากคือความสม่ำเสมอ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ก็คือการสะสมของทุกความสำเร็จเล็กน้อยเข้าด้วยกันจนมากขึ้น…

การพัฒนาตนเองก็เริ่มจากการทำสิ่งหนึ่งซ้ำ ๆ.. แต่ต้องทำให้สำเร็จ ไม่ใช่แค่ได้ทำ “แผนงาน-แผนการ” (Plan) บางทีจึงไม่สำคัญเท่า “รายการที่ต้องทำ (To-do lists)” แค่ในวันนี้ แล้วทำให้สำเร็จเสียก่อน

ยิ่งชีวิตสับสน ปัจจัยมาก จะอ้างอย่างไรก็ได้ ก็แค่ให้รู้ว่าเป้าหมายระยะสั้นตอนนี้มีอะไร ทำไปทีละเรื่อง ทีละอย่าง อย่างไรก็พัฒนา แต่หากมีเป้าหมายระยะยาวประเภทคาดหวังว่าพรุ่งนี้โลกจะต้องเปลี่ยนไป ก็ไม่ต่างกับการฝันถึงเงินล้านวันพรุ่งนี้ให้ได้ ในขณะที่ทั้งเดือน 5 พันยังลำบาก เช่นนี้ไม่มีใครหลอกเรา เราหลอกตัวเอง ไม่มีใครทำให้เราท้อ เราบั่นทอนตัวเอง..

และหรือที่จริงเป้าหมายระยะไหนก็ไม่สำคัญ อยู่ที่ใจเรามองมันอย่างไร ว่าชีวิตต้องการอะไร แล้ววันนี้เราทำอะไร…

*การกำหนดเป้าหมายแบบ S.M.A.R.T. (SMART Goal)  (บทเสริม)

การกำหนดเป้าหมายที่ดีมีหลักการหนึ่งคือ การกำหนดเป้าหมายแบบ S.M.A.R.T. หรือ SMART goal กล่าวคือต้องประกอบไปด้วย

S: Specific = จำเพาะเจาะจง มีความชัดเจนเข้าใจได้ว่า เรื่องอะไร หรือจะไปไหน ได้แค่ไหน เรื่องใด สิ่งใด ไม่เช่นนั้นก็จะคลุมเครือ เข้าใจยาก สับสน เช่น มีเป้าหมายหลายเรื่องรวมกัน ปัจจัยมาก ควบคุมยาก ทำจริงก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

M: Measurable = วัดผลได้ เพราะการตั้งเป้าหมายที่วัดไม่ได้ก็เลื่อนลอย เช่น อยากรวย แค่ไหนคือคือรวย?  อยากเดินทางไกล ไกลคือกี่กิโล?  เมื่อไม่รู้จำนวน ตอนลงมือทำจริงก็จะยาก เพราะวางแผนไม่ได้ หาเส้นชัยไม่เจอ

A: Achievable = ทำได้จริง ก็ต้องไม่ลืมดูศักยภาพกับสิ่งที่มีอยู่ ว่าเหมาะสมกับเป้าหมายนั้นไหม ฝันใหญ่เป็นเรื่องดี แต่บางทีก็มีเส้นบาง ๆ ระหว่างฝันไกล กับฝันเฟื่อง

R: Relevant = สมเหตุสมผล หรือเชื่อมโยง แม้ว่าจะทำได้จริง วัดผลได้ แต่บางเป้าหมายก็ไม่จำเป็น ไม่เหมาะสม หรือดีต่อเราจริงในระยะยาว พูดง่าย ๆ ก็แค่ชวนให้ทบทวนว่าเป้าหมายนี้คือสิ่งที่เราต้องการแท้จริงหรือไม่

T: Time-bound = เงื่อนเวลา ที่จะมาเป็นกรอบชี้ให้เราเห็นว่าเป้าหมายนี้จะเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใดตั้งแต่ตั้งเป้าหมาย ไปจนถึงพิจารณาได้ทันทีว่าขาดพร่องหรือต้องเติมเรื่องใดเพื่อให้เป้าหมายเป็นจริงได้ เพราะหากไม่มีเวลากำกับ ก็ลำดับความสำคัญไม่ได้ มันก็ผ่านไปเหมือนกับเป้าหมายไม่เคยมีอยู่ดี

จากทั้งหมดจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องสอดคล้องกัน การตั้งเป้าหมายให้ SMART เป็นการตั้งเป้าหมายที่ดีมาก เพราะอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงในทุกด้าน คนที่วางแผนบ่อย ๆ ไม่จำเป็นต้องมานั่งไล่เรียงสิ่งเหล่านี้ เพราะจะมีอยู่ในหัวอยู่แล้วเหมือนทักษะติดตัว (Passive skill) แต่คนที่ไม่เคย ไม่เข้าใจ อาจต้องค่อย ๆ ดูไปทีละข้อ เพียงแต่..

สำหรับหลายคนที่ง่าย ๆ กับชีวิตมานาน จะเปลี่ยนไปวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน คิด วิเคราะห์ไกลให้ทำก็คงไม่ชอบ ไม่อยาก ไม่ถนัด (ไม่งั้นคงไม่เป็นเช่นนี้) เอาเป็นว่าวางแผนใกล้ ๆ พรุ่งนี้ควรทำอะไรให้สำเร็จสักอย่างเป็นใช้ได้ สำเร็จทุกวันไม่ก้าวหน้าให้รู้ไป จึงเป็นเหตุให้เป้าหมายระยะสั้น อาจสำคัญกว่า S.M.A.R.T.

 แหล่งอ้างอิง https://sirichaiwatt.com/%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b9%86/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%92%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%87/%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a2%e0%b8%b0%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%84%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%81

 

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

 ชื่อ ธนนันท์ วงกอ

ชั้น 6/1เลขที่1 โรงเรียนวชิรป่าซาง

เบอร์โทรศัพท์0957015500อีเมล์thanana1148@gmail.com  

 สีที่ชอบม่วง

คติประจำใจนิ่งเป็นหลับขยับเป็นเล่น     

คุณใจเกเรมากแค่ไหน🥵👉🏻👌🏻(มีคำหยาบนะครับ^^) - Quiz.Postjung.com

ชื่อ  นายธนภัทร สิทธิบัว

ม.6/1 เลขทีี่2 โรงเรียนวชิรป่าซาง

ที่อยู่152 ม.4 ต.นครเจดีย์ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน

0943508801 tsiththibaw@gmail.com


สีที่ชอบ เขียว

คติประจำใจ เก่งขึ้นในทุกๆวัน

#เพื่อการเรียนการศึกษา

คู่ขวัญ 'เร ลิล แบล็ก' โคจรพบ 'จอร์ดี้' ทำเอากระหึ่มออนไลน์ | WeR NEWS |  LINE TODAY