วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

วันตรุษจีน

วันตรุษจีน (Chinese New Year) เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน มีการเฉลิมฉลองกันเป็นเวลา 15 วัน โดยวันแรกเรียกว่า "วันจ่าย" เป็นวันที่คนในครอบครัวออกไปจับจ่ายซื้อของสำหรับไหว้บรรพบุรุษและเฉลิมฉลองปีใหม่ วันรุ่งขึ้นเรียกว่า "วันไหว้" เป็นวันไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้าต่างๆ วันสุดท้ายเรียกว่า "วันเที่ยว" เป็นวันที่คนในครอบครัวไปเยี่ยมญาติมิตรและเฉลิมฉลองปีใหม่กัน ในช่วง "วันตรุษจีน" จะมีการทำความสะอาดบ้านเรือนผ่านปีใหม่อย่างสะอาดสดใส ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ต่างเต็มไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้แก่เด็กๆ ซื้อของขวัญให้แก่ญาติสนิทมิตรสหาย ซื้อบัตรอวยพรในโอกาสมงคล ในตลาดคราคล่ำไปด้วยผู้คน ที่มาซื้อปลา เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ ฯลฯ ทุกคนต่างดูแจ่มใสมีความสุข เด็กๆ สวมเสื้อใหม่ ทานลูกกวาด ขนมหวาน เล่นพลุประทัด อย่างรื่นเริง ในบทความนี้ เราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ วันตรุษจีน 2567 มีรายละเอียดดังนี้ ประเพณีและกิจกรรมของวันตรุษจีน การไหว้บรรพบุรุษ เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ชาวจีนจะจัดเตรียมอาหารและเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ เพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ การแจกซองแดง เป็นการมอบเงินขวัญถุงให้กับเด็กๆ เพื่อเป็นสิริมงคล เด็กๆ ที่ได้รับซองแดงจะต้องกล่าวคำขอบคุณผู้ใหญ่ที่มอบซองแดงให้ การกินอาหารมงคล ชาวจีนเชื่อว่าการกินอาหารมงคลจะช่วยให้มีโชคดีตลอดทั้งปี อาหารมงคลที่มักรับประทานในวันตรุษจีน ได้แก่ ปลา หมี่ซั่ว ขนมเข่ง เกี๊ยว เป็นต้น การประดับบ้านเรือนด้วยสีแดง สีแดงเป็นสีมงคลของชาวจีน ชาวจีนจึงนิยมประดับบ้านเรือนด้วยสีแดงในวันตรุษจีน การเยี่ยมญาติมิตร ชาวจีนจะใช้เวลาในวันตรุษจีนไปเยี่ยมญาติมิตร เพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ด้วยกัน https://vt.tiktok.com/ZSFNbUpmT/ https://vt.tiktok.com/ZSFNbfgF2/

วันวาเลนไทน์

"วันนักบุญวาเลนไทน์" แต่เดิมเป็นเพียงวันฉลองนักบุญในศาสนาคริสต์ยุคแรกหนึ่งหรือสองคนชื่อวาเลนตินัส ความหมายโรแมนติกโดยนัยสมัยใหม่นั้นกวีเพิ่มเติมในอีกหลายศตวรรษต่อมาทั้งสิ้น มีการกำหนดวันวาเลนไทน์ขึ้นครั้งแรกโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเกลาซิอุสที่ 1 ใน ค.ศ. 496 ก่อนที่สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 จะให้ตัดออกจากปฏิทินโรมันทั่วไป (General Roman Calendar) ในปี ค.ศ. 1969 วันวาเลนไทน์มาข้องเกี่ยวกับรักแบบโรแมนติกเป็นครั้งแรกในแวดวงสังคมของเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ สมัยกลางยุครุ่งโรจน์ (High Middle Ages) เมื่อประเพณีรักเทิดทูน (courtly love) เฟื่องฟู จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 วันวาเลนไทน์ได้วิวัฒนา มาเป็นโอกาสซึ่งคู่รักจะแสดงความรักของพวกเขาแก่กันโดยให้ดอกไม้ ขนมหรือลูกกวาด และส่งการ์ดอวยพรกัน[1][2]ในภายหลังประเพณีการแสดงออกความรักไม่ได้เป็นที่นิยมเพียงแค่ทางฝั่งตะวันตกหากแต่มีการแพร่กระจายความนิยมไปทั่วโลก โดยคนส่วนใหญ่ถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันแห่งการแสดงความรักให้กันจนถึงปัจจุบัน โดยบางประเทศมีการฉลองในลักษณะที่คล้ายกันนี้ เช่น ประเทศบราซิลมีการเฉลิมฉลอง "Dia dos Namorados" ในวันที่ 12 มิถุนายน โดยจะมีการมอบของขวัญให้คนที่รัก เช่น ดอกไม้และช็อกโกแลต[3]

วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2566

อัตลักษณ์ลำพูน

ลําพูน เดิมชื่อเมืองหริภุญไชย เป็นเมืองเก่า มีอายุกว่า 1,340 ปี ตามพงศาวดารโยนกเล่าสืบต่อกันถึงการสร้างเมืองหริภุญไชย โดยฤาษีวาสุเทพเป็นผู้เกณฑ์พวกเม็งคบุตร หรือชนเชื้อชาติมอญมาสร้างเมืองนี้ขึ้น ในพื้นที่ระหว่างแม่น้ำสองสาย คือ แม่น้ำกวงและแม่น้ำปิง เมื่อสร้างเสร็จได้ส่งทูตไปเชิญราชธิดากษัตริย์เมืองละโว้พระนาม “จามเทวี” มาเป็นปฐมกษัตริย์ปกครองเมืองหริภุญไชย สืบราชวงศ์กษัตริย์ต่อมาหลายพระองค์ จนกระทั่งถึงสมัยพระยายีบาจึงได้เสียการปกครองให้แก่พ่อขุนเม็งรายมหาราช ผู้รวบรวมแว่นแคว้นทางเหนือเข้าเป็นอาณาจักรล้านนา เมืองลำพูน ถึงแม้ว่าจะตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรล้านนา แต่ก็ได้เป็นผู้ถ่ายทอดมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมให้แก่ผู้ที่เข้ามาปกครอง ดังปรากฏหลักฐานทั่วไปในเวียงกุมกาม เชียงใหม่และเชียงราย เมืองลำพูนจึงยังคงความสำคัญในทางศิลปะและวัฒนธรรมของอาณาจักรล้านนา จนกระทั่งสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมืองลำพูนจึงได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทย มีผู้ครองนครสืบต่อกันมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ Advertisement ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เมื่อเจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้าย คือ พลตรีเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ถึงแก่พิราลัย เมืองลำพูนจึงเปลี่ยนเป็นจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปกครองสืบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน (http://www.lamphun.go.th) บรรพชนคนเมืองลำพูนได้สร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี โบราณสถาน โบราณวัตถุ และสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นไว้มากมาย เช่น วัดพระธาตุหริภุญไชย (ถือเป็นพระธาตุประจำปีเกิดชาวปีระกา), อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี, วัดจามเทวี มีเจดีย์บรรจุอัฐิของพระนางจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญไชย, คุ้มเจ้าหลวง (เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 10) เป็นต้น ปี พ.ศ.2559 เมืองลำพูนได้รับคัดเลือกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้เป็นเมืองต้องห้ามพลาดพลัส เชื่อมโยงนักท่องเที่ยวกับจังหวัดลำปาง (ลำปาง Plus ลำพูน) ด้วยการประชาสัมพันธ์ที่ว่า “…เมื่อได้ไปเยือน กลิ่นอายของวันวานจากตำนาน ‘หริภุญไชย’ แห่งนี้ จะทำให้คุณเหมือนได้ย้อนไปสู่วิถีวันวาน ที่มีความสงบ การใช้ชีวิตแบบเนิบช้า ไม่เร่งรีบแข่งกับเวลา และความงดงามของศิลปวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดผ่านทางแหล่งท่องเที่ยวทั้งวัดวาอาราม เจดีย์เก่าแก่ ศิลปะล้านนาแท้ที่มีลวดลายอันวิจิตรงดงาม อีกทั้งงานหัตถกรรมที่สั่งสมกันมาอย่างยาวนานจนเป็นสินค้าขึ้นชื่อ อย่างผ้าไหมยกดอก บวกกับอาคารบ้านเรือนต่างๆ ที่ยังคงแบบโบราณเอาไว้ ทำให้ใครต่อใครที่ได้แวะเวียนมา ‘ลำพูน’ พากัน ‘ประทับใจ’ ไม่รู้ลืม…” (http://www.tnews.co.th/html/) อย่างไรก็ตาม ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ ยุคของข้อมูลข่าวสาร ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เทคโนโลยี ฯลฯ อย่างรวดเร็วและไร้ขีดจำกัดต่อทุกประเทศ ทุกองค์กร ทุกท้องถิ่นทั่วโลกอย่างไม่มีข้อยกเว้น สถาบันพระปกเกล้ากับการเปลี่ยนแปลง เป็นโอกาสดีที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง การบริหารงานพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืน รุ่นที่ 3 โดยมี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานคณะกรรมการหลักสูตร ภายใต้การดูแลของ รศ.วุฒิสาร ตันไชย, ผศ.ดร.อรทัย ก๊กผล สถาบันได้กำหนดให้มีเอกสารวิชาการกลุ่ม โดยศึกษาเมืองต้นแบบ 8 แห่ง ได้แก่ อบจ.สุพรรณบุรี จังหวัดกีฬา, เทศบาลนครเชียงราย เมืองการศึกษา, เทศบาลเมืองยโสธร เมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม, เทศบาลเมืองศรีสะเกษ เมืองสุขภาพ, เทศบาลเมืองลำพูน เมืองอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม, เทศบาลเมืองทุ่งสง เมืองจัดการน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ, เทศบาลเมืองบึงยี่โถ เมืองผู้สูงอายุ และเทศบาลเมืองพนัสนิคม เมืองสิ่งแวดล้อม ซึ่งเอกสารวิชาการมี 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ประมวลสรุปข้อมูลพื้นฐานต่างๆ แนวทางศึกษา วิธีเก็บข้อมูล ขั้นตอนการศึกษา ส่วนที่ 2 ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ผ่านมา ส่วนที่ 3 ทิศทางและก้าวย่างในอนาคต ส่วนที่ 4 ข้อเสนอการพัฒนาพื้นที่และการปฏิรูป หลักสูตรยังกำหนดให้มีเอกสารวิชาการส่วนบุคคล เพื่อนำเมืองต้นแบบหรือนำความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาอบรมในหลักสูตรมาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนอีกด้วย เจ้าแม่จามเทวี

วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2566

10แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่

 10แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่

1. วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร


"วัดพระธาตุดอยสุเทพฯ" อีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ใครที่มาเที่ยวเชียงใหม่แต่ไม่ได้มากราบไหว้ก็เหมือนมาไม่ถึง พร้อมกับเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมแบบล้านนาจากการสร้างเจดีย์ทรงเชียงแสนและชื่นชมความงามของจังหวัดเชียงใหม่จากจุดชมวิวบนวัดพระธาตุดอยสุเทพฯแห่งนี้ ลงจากดอยสุเทพมุ่งหน้าต่อไปที่เขตติดต่อแม่ริมยังมีอีกหนึ่งวัดให้สักการะขอพรกันอย่างเต็มที่ เชื่อได้เลยว่ากลับบ้านไปออร่าคนอิ่มบุญฟุ้งกระจายแน่นอน


การเดินทาง : จาก อำเภอ เมืองเชียงใหม่ ไปตามถนนห้วยแก้ว-มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ผ่านสวนสัตว์เชียงใหม่ และผ่านอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย

เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 06.00 น. - 18.00 น.

ฤดูกาลแนะนำ : พฤศจิกายน - ธันวาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : 09.00 - 11.00 น.

อัตราค่าเข้า 20 บาท/คน (ค่าบริการรถราง)

อ่านรีวิวและดูรูปเพิ่มเติมจากผู้ใช้ Wongnai : วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร

2. One Nimman


เริ่มต้นด้วยที่เที่ยวนิมมานย่านชิค ๆ ที่เปรียบเสมือนสตรีทอาร์ตของจังหวัดเชียงใหม่อย่าง "One Nimman" ที่ตั้งอยู่บนถนนนิมมานเหมินทร์ เป็นย่านสังคมฮิปสเตอร์และสถานที่เที่ยวเชียงใหม่สุดแนวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด เดินทางสะดวกจะขับรถมาเองหรือนั่งรถแดงจากในตัวเมืองก็ได้ ที่นี่เป็นแหล่งนัดพบสังสรรค์กับเพื่อน ๆ มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของฝาก ร้านแฟชั่น รวมถึงมุมสวย ๆ ไว้ถ่ายรูป เผลอ ๆ นึกว่าอยู่มิลานกันเลยทีเดียว


การเดินทาง : นิมมานเหมินทร์ เชียงใหม่ (แยกรินคำ)

เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 11.00 น. - 23.00 น.

ฤดูกาลแนะนำ : พฤศจิกายน - ธันวาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : 19.00 - 21.00 น.

อัตราค่าเข้า ฟรี

อ่านรีวิวและดูรูปเพิ่มเติมจากผู้ใช้ Wongnai : One Nimman

3. ถนนคนเดินวัวลาย


ขับมาอีกไม่ถึง 20 นาที หรือใครที่ไม่สะดวกขับรถด้วยตัวเอง สามารถใช้ขนส่งสาธารณะอย่าง RTC Smart Bus จากสถานี One Nimman ลงสถานี "ถนนคนเดินวัวลาย" ก็จะพบกับที่เที่ยวเชียงใหม่และแหล่งชอปบรรยากาศชิล ๆ อีกหนึ่งที่ของจังหวัดเชียงใหม่ มีสินค้าและผลิตภัณฑ์แบบศิลปะล้านนามากมายมาให้เลือกชมเลือกชอปกันเต็มที่ ทั้งผ้าซิ่น เครื่องเงินต่าง ๆ หรือของร้านอาหารรสเด็ดก็มี ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่เกี๊ยวจากร้าน แม่จันทร์ หมี่เกี๊ยว หรือขนมเบเกอรีโฮมเมดอบใหม่วันต่อวัน เป็นที่โจษจันของคนเชียงใหม่อย่างร้านบ้านเบเกอรี่ โฮมเมด และอีก 15 ร้านอาหารเด็ดถนนวัวลาย ที่ Wongnai เคยแนะนำไว้ จุ๊ ๆ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะถ้าเดินลัดเลาะไปอีกหน่อยยังมีถนนคนเดินอีกหนึ่งแห่งของเชียงใหม่ที่พลาดไปไม่ได้เช่นกัน


การเดินทาง : ตรงข้ามประตูเมืองเชียงใหม่ เดินไปทางขวานิดนึงจะเจอกับถนนวัวลาย

เวลาเปิด - ปิด : วันเสาร์ 17.00 น. - 23.00 น.

ฤดูกาลแนะนำ : พฤศจิกายน - ธันวาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : 19.00 - 21.00 น.

อัตราค่าเข้า ฟรี

อ่านรีวิวและดูรูปเพิ่มเติมจากผู้ใช้ Wongnai : ถนนคนเดินวัวลาย

4. ถนนคนเดินท่าแพ


เดินเลาะจากไปทางประตูเมืองเชียงใหม่ประมาณ 10 กว่านาทีก็ถึงที่หมาย "ถนนคนเดินท่าแพ" เป็นย่านสตรีทที่โด่งดังและใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่มีอาหาร เครื่องประดับตกแต่ง เสื้อผ้า และของที่ระลึกพื้นเมืองที่สามารถซื้อให้ตัวเองก็ได้ หรือจะหิ้วไปฝากคนรู้จักก็ดี เหมาะกับมาเดินเล่นชิล ๆ ในยามกลางคืนพร้อมรับอากาศหนาวแบบฟิน ๆ ส่วนถ้ามาเที่ยวเชียงใหม่หน้าร้อนเดือนเมษา เพื่อน ๆ ก็สามารถมาเล่นน้ำสงกรานต์ที่คูเมืองหรือประตูท่าแพนี้ได้ 


การเดินทาง : ถนน คนเดินท่าแพ เชียงใหม่

เวลาเปิด - ปิด : วันอาทิตย์ 18.00 น. - 22.00 น.

ฤดูกาลแนะนำ : พฤศจิกายน - ธันวาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : 19.00 - 21.00 น.

อัตราค่าเข้า ฟรี

อ่านรีวิวและดูรูปเพิ่มเติมจากผู้ใช้ Wongnai : ถนนคนเดินท่าแพ

5. อ่างแก้ว


"อ่างแก้ว" อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับนั่งชิล ถ่ายรูป เช็กอินและชื่นชมความสวยงามของพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นหรือลับลาขอบฟ้า ไหน ๆ ก็มาถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว อย่าลืมแวะไปโดนร้านอาหารเก่าแก่อย่างร้าน Boat Bakery ที่เปรียบเหมือนซิกเนเจอร์ของจังหวัดเชียงใหม่ หรือจะเป็นร้านซุปกระดูกแม่โจ้  สุดแซ่บ และอีก 30 ร้านเด็ดย่านหน้า มช. ที่เราได้คัดสรรมาให้เพื่อน ๆ ได้แวะกินเติมพลังกันก่อนที่จะมุ่งหน้าขึ้นดอย ผ่านโค้งสปิริต เพื่อไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่อีกที่หนึ่ง


การเดินทาง : ถนน นครพิงค์ เชียงใหม่ จากหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อขับตรงมาจนเจอสามแยกศาลพระภูมิให้เลี้ยวไปทางขวา สุดถนนก็จะเป็นอ่างแก้ว

เวลาเปิด - ปิด : วันอาทิตย์ 05.00 น. - 22.00 น.

ฤดูกาลแนะนำ : ทุกฤดูกาล

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : 17.00 - 19.00 น.

อัตราค่าเข้า ฟรี

อ่านรีวิวและดูรูปเพิ่มเติมจากผู้ใช้ Wongnai : อ่างแก้ว

6. วัดพระธาตุดอยคำ


"วัดพระธาตุดอยคำ" ศาสนสถานที่ขึ้นชื่ออีกหนึ่งที่ของอำเภอเชียงใหม่ ใช้ระยะเวลาการเดินทางจากวัดพระธาตุดอยสุเทพฯประมาณ 40 นาที เป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อทันใจ ซึ่งมีอายุกว่า 500 ปี อยู่คู่กับคนเชียงใหม่มาช้านาน แต่ทัวร์ไหว้พระทำบุญยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะยังมีอีกหนึ่งวัดเชียงใหม่ขึ้นชื่อที่สวยงามไม่แพ้ 2 วัดนี้เลย!


การเดินทาง : ถนน หมู่บ้านเชียงใหม่เลคแลนด์ เชียงใหม่ เข้าทางถนนเลียบคลองชลประทาน แยกจากถนนเชิงดอยบริเวณตลาดต้นพะยอมไปทางทิศใต้ประมาณ 6 กิโลเมตร

เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 06.00 น. - 18.00 น.

ฤดูกาลแนะนำ : ตุลาคม - ธันวาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด :  09.00 - 11.00 น.

อัตราค่าเข้า ฟรี

อ่านรีวิวและดูรูปเพิ่มเติมจากผู้ใช้ Wongnai : วัดพระธาตุดอยคำ

7. วัดอุโมงค์ (วัดสวนพุทธธรรม)


วัดโบราณสมัยสุโขทัย ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ห่างจากวัดพระธาตุสุเทพฯ และวัดโดยคำเพียง 10 กว่ากิโลเมตรเท่านั้นเอง "วัดอุโมงค์ หรือ วัดสวนพุทธธรรม" เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปโบราณอยู่หลายองค์ และยังมีพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ เปิดให้ชมวันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ตั้งแต่เวลา 09:00 - 16:00 น. ในพิพิธภัณฑ์จะมีพระพุทธรูปหนังสือโบราณ และองค์พระต่าง ๆ เก็บรักษาไว้ด้วย สถานที่ท่องเที่ยวเชียงใหม่ที่ต่อไป เราขอแนะนำลานกิจกรรมฮิป ๆ ไม่ไกลจากวัดอุโมงค์เลย เดินไปก็ยังได้เพราะห่างไปแค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง


การเดินทาง : 135 หมู่ที่ 10 ซอย บ้านใหม่หลัง มช. ผ่านสี่แยกคลองชลประทานด้านหลังม.เชียงใหม่ ประมาณ 500 เมตร เข้าซอยทางด้านซ้ายมือไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร

เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 06.00 น. - 18.00 น.

ฤดูกาลแนะนำ : ทุกฤดูกาล

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : 09.00 - 11.00 น.

อัตราค่าเข้า ฟรี

อ่านรีวิวและดูรูปเพิ่มเติมจากผู้ใช้ Wongnai : วัดอุโมงค์ (วัดสวนพุทธธรรม)

8. บ้านข้างวัด


ลานกิจกรรมกึ่งถนนคนเดิน "บ้านข้างวัด" ที่พักผ่อนเชียงใหม่ตั้งอยู่ในซอยวัดร่ำเปิงห่างจากวัดอุโมงค์ประมาณ 1 กิโลเมตร นอกจากจะมีร้านอาหาร สินค้า และคาเฟ่เก๋ ๆ สไตล์ฮิปสเตอร์ไว้ในนั่งท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปเช็กอินกันแล้ว ยังมีกิจกรรม Workshop ต่าง ๆ เช่น สมุดทำมือ แกะสลักตัวปั๊ม เพนต์เสื้อ วาดภาพสีน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย สำหรับใครที่มีใจรักชอบงานศิลปะ ประดิดประดอยห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง!


การเดินทาง : 191-197 ซ.วัดอุโมงค์ และวัดร่ำเปิง ถ.คลองชลประทาน ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่

เวลาเปิด - ปิด : วันอังคาร - วันอาทิตย์ 11.00 น. - 18.00 น.

ฤดูกาลแนะนำ : ตุลาคม - ธันวาคม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : 13.00 - 15.00 น.

อัตราค่าเข้า ฟรี

อ่านรีวิวและดูรูปเพิ่มเติมจากผู้ใช้ Wongnai : บ้านข้างวัด

9. ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะ


เก็บภาพบรรยากาศสวย ๆ กับดอกไม้เมืองหนาวหาชมได้ยากอย่างไฮเดรนเยีย ที่ "ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะ" ที่เที่ยวเชียงใหม่ที่ห่างออกไปจากตัวอำเภอเชียงใหม่ประมาณ 100 กิโลเมตร มุ่งหน้าถนนหมายเลข 108 เพื่อน ๆ ก็จะได้ยลโฉมความงามของดอกไม้สีม่วงอมน้ำเงิน ที่ถือว่าเป็นวิวทิวทัศน์ที่แปลกตาและน่าหลงไหลจนถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว


การเดินทาง : ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง เชียงใหม่

เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 08.00 น. - 16.30 น.

ฤดูกาลแนะนำ : กันยายน - พฤศจิกายน

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : 09.00 - 11.00 น.

อัตราค่าเข้า 30 บาท / คน (โซนแปลงดอกไม้)

อ่านรีวิวและดูรูปเพิ่มเติมจากผู้ใช้ Wongnai : ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะ

อำเภอแม่แจ่ม


อำเภอแม่แจ่ม ดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดเชียงใหม่ ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและสวนไม้นานาพันธ์ุ แต่ก่อนที่จะเริ่มทัวร์กันกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง เพราะฉะนั้นเราควรแวะเติมพลังในตัวเมืองเชียงใหม่กันก่อนกับ 20 ร้านอาหารเช้าเชียงใหม่ รับอรุณ ไม่ว่าจะเป็น ขนมปังสังขยาจากร้านโกเผือกโกดำ ชุดไข่กระทะจากร้านไข่กระทะเลิศรส หรือจะแวะจิบกาแฟสดหอมกรุ่นจากร้านสภากาแฟ 786 เรียกได้ว่ามีแต่ร้านเด็ด ๆ ที่ไม่ควรพลาดทั้งนั้น!


หลังจากอิ่มหนำกันแล้วก็ได้เวลาที่ล้อรถจะหมุนได้สักที หากใครเริ่มต้นจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ จะใช้เวลาเดินทางไปที่พักผ่อนเชียงใหม่ในอำเภอแม่แจ่มประมาณ 3 ชั่วโมง มุ่งหน้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1009 ถือว่าเป็นอำเภอที่ใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร แต่เชื่อเถอะ ว่าไปแล้วจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่า :)


10. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์


เริ่มต้นกันด้วยดอยที่สูงที่สุดของประเทศไทยอย่าง "ดอยอินทนนท์"  หนึ่งในที่เที่ยวเชียงใหม่ยอดฮิต ที่นอกจากจะได้ทั้งความหนาว และความหวาดเสียวแล้ว ที่นี่ยังมีพืชไม้ยืนต้น ไม้ดอก แม่น้ำ และน้ำตกให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมความงามของธรรมชาติอีกด้วย ถัดจากที่นี่ไปไม่ถึง 5 กิโลเมตร ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชียงใหม่ที่เต็มไปด้วยพืชไม้เมืองหนาวอยู่อีกด้วย 


การเดินทาง : แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 สายจอมทอง - อินทนนท์ ระยะทาง 48 กิโลเมตรถึงยอดดอยอินทนนท์

เวลาเปิด - ปิด : ทุกวัน 06.00 น. - 18.00 น.

ฤดูกาลแนะนำ : ตุลาคม - พฤศจิกายน

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : 5.00 - 8.00 น.

อัตราค่าเข้า : ผู้ใหญ่ 50 บาท / เด็ก 20 บาท

อ่านรีวิวฉบับเต็มคลิกเลย! : วันเดียวเที่ยวเชียงใหม่ ม่วนมันส์ 1 วันที่ดอยอินทนนท์

อ่านรีวิวและดูรูปเพิ่มเติมจากผู้ใช้ Wongnai : อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อ่านต่อได้ที่ https://www.wongnai.com/trips/travel-at-chiangmai?ref=ct

วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

 

โลกที่หมุนไป เราต้องอยู่ได้บนแรงโน้มถ่วง

by

| Home » บทความดีๆ » บทความน่าอ่านและเรื่องราวดีๆ » Outside The Circle » โลกที่หมุนไป เราต้องอยู่ได้บนแรงโน้มถ่วง |


โลกหมุนไปทุกวัน เราทราบดี แต่สิ่งที่เราไม่รู้หรืออาจเพียงลืมไป คือ เราต้องใช้ชีวิตไปตามโลก วันคืนที่สลับไปตามการหมุนของโลกนั้น มันหมายถึงสิ่งที่ต้อง เกิดขึ้น จางหาย ได้มา สูญเสีย ชดใช้ ไม่ต่างกับ แสงแดด ก้อนเมฆ สายลม น้ำขึ้นน้ำลง ที่แปรผันตามการหมุนของโลกเช่นกัน

 โลกจริงที่หมุนไป

แต่ละวันที่เราต้องกิน-ใช้ ต่อคำถามที่ว่าทำไมข้าวของแพงขึ้นทุกวัน อาจเป็นคำถามที่คนวัย 25+ เริ่มรู้สึกและไม่ค่อยชอบใจนักกับสิ่งของที่เคยคุ้นเริ่มมีราคาที่แตกต่าง แต่หากวัย 40 ขึ้นไป แม้ไม่ได้รู้สึกดีแต่ก็คงเลิกสงสัยและยอมรับได้ว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น “ค่าครองชีพ” เป็นเพียงสิ่งที่ได้มาและหายไปของหลายคน เพราะ “ต้องกิน” และ “จำเป็นต้องใช้” นี่คือสิ่งแรกที่ต้องเข้าใจว่าโลกหมุนไป เราหยุดไม่ได้หากชีวิตยังต้องดำเนิน

หลายคนก้าวเดินไปข้างหน้า หางาน ทำเงิน เพื่อที่จะคว้าสิ่งที่อยากได้มาให้ได้ บางทีโลกก็หมุนไปให้เราได้มาจนวันหนึ่ง แต่ก็หลงลืมไปว่า โลกมันไม่ได้หยุดเดินในวันที่เราได้มา หลังจากวันนั้นมันก็เสื่อมค่า เสื่อมถอย ผุพัง เสียหาย เปลี่ยนสภาพไปตามกาลเวลา เช่น การกว่าจะมีรถสักคัน เมื่อได้มาแล้วใช้ไป หากมองอย่างเข้าใจ แม้จะผ่อนหมดหรือซื้อเงินสดมา เราก็จะระลึกได้ว่า ก็ยังคงต้องทำเงิน เพื่อจะได้มีรถคันใหม่มาแทนที่คันนี้ แต่ถ้าลืมคิด หรือไม่เคยคิด เมื่อวันที่รถมันเก่า รถมันเริ่มไม่ไหว สิ่งที่ทำได้ก็เพียงทนใช้ไปเพราะไม่มีเงินที่จะมาซื้อ มาดาวน์รถคันใหม่มาแทนที่

การมุ่งหน้าจนได้อะไรมาสิ่งหนึ่งแล้วก็มุ่งไปคว้าสิ่งอื่นต่อไป เมื่อโลกหมุนไปนานขึ้น อาจทำให้สิ่งที่มีเริ่มจางหาย สิ่งใหม่ก็ยังไม่ได้มา เรี่ยวแรงจะมุ่งหา 2-3 สิ่งให้ได้พร้อมกันนั้น มันไม่ง่ายเลย และเป็นเรื่องธรรมดาที่ยิ่งมีรายได้ ยิ่งได้มาก ยิ่งต้องจ่ายมากขึ้นตามกันหากไม่ได้เฉลียวใจ “ก็หมุนไม่ทัน”

กับสิ่ง “ที่ไม่ใช่สิ่งของ” ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก หรือความสัมพันธ์ การที่โลกหมุนไปย่อมทำให้หลายปัจจัยเปลี่ยนแปลง ความจำเป็น ระยะทาง ปัจเจก ความจำเพาะบุคคล มิอาจหยุดนิ่งให้ไม่มีสิ่งใดส่งผลต่อเราหรือใคร ดังเช่น ตุ๊กตาตัวเก่า เสื้อตัวเก่ง แม้จะโทรมแค่ไหนเรายังรู้สึกดีกับสิ่งนั้นได้ก็จริงอยู่ แต่วันหนึ่งมันก็จะมีภาวะที่เป็นไป เช่น ของเล่นชิ้นที่เคยโปรดแค่ไหน โตมาก็ใช่ว่าจะรู้สึกดีหากไปนั่งเล่นกับมัน (เพราะโตแล้ว) ผ้าห่มผืนน้อย เสื้อตัวโปรด ที่เราไม่เคยรังเกียจแม้จะเก่าแค่ไหน แต่ก็คงรู้สึกไปได้ไม่ตลอด ไม่ต่างกับความสัมพันธ์ต่อสิ่งมีชีวิตที่ย่อมมีปัจจัยทำให้แยกออกจากกัน เป็นเรื่องยากที่จะใช้ชีวิตกับเพียงบางสิ่งตลอดไปเสมือนไม่มีสิ่งใดสำคัญอีกแล้วบนโลกนี้  เพื่อนรัก คนสนิท ครอบครัว ล้วนผูกติดไว้ไม่ได้ตลอดไป แล้วบางทีในมุมเขาเหล่านั้นก็อาจเป็นฝ่ายไม่ต้องการเราก่อนอีกด้วย

และนี่คือโลกแห่งความเป็นจริง ที่มันต้องหมุนไป พ้องไปกับที่กล่าวกันว่าเราจะถอยหลังเมื่อหยุดนิ่ง มันก็จริงอย่างไม่ต้องสงสัย

แรงโน้มถ่วง

แม้เราจะรู้หรือเข้าใจกันดีอยู่ว่าโลกจริงต้องหมุนไป คล้ายชีวิตต้องดำเนินต่อไป แต่โลกก็ยังมีอีกสิ่งที่เรียกว่า แรงโน้มถ่วง ที่ทำให้ทุกอย่างมีน้ำหนักและติดอยู่กับโลกนี้ เปรียบได้ว่าในทุกการเคลื่อนไหวเราต้องออกแรงเพื่อที่จะ ลุก เดิน หรือก้าวไป ไม่เพียงเท่านั้นมันยังทำให้เรา “เจ็บ” อีกด้วยถ้าล้มลง การมีบางสิ่งมาถ่วงให้เราหนัก ก็เหมือนดังอุปสรรคฉุดไว้ให้เดินลำบาก…

หากแค่ตัวเราลำพังการแค่หมุนตามโลกอาจไม่ลำบากนัก แต่เราล้วนมีความรู้สึก มีความขี้เกียจ มีปมในใจ มีคนรอบข้าง มีสังคม สิ่งแวดล้อม กระทั่งความผิดพลาดในอดีตของเราเอง เหล่านี้คือสิ่งที่ ถ่วง ให้ไม่ได้เดินหน้าไปได้ง่าย ๆ ใครปลดเปลื้องได้ ปล่อยวางได้ จัดการได้ดีกว่า ย่อมเบาตัวกว่าไปได้ง่ายไปได้เร็วกว่า…

คนอยู่เฉย ๆ ย่อมไม่เหนื่อย คนเดินเหนื่อยน้อยกว่าคนวิ่ง คนวิ่งอาจเหนื่อยน้อยกว่าคนที่ต้องแบก เราล้วนต้านแรงโน้มถ่วงที่ไม่เท่ากัน หากเลือกจะอยู่เฉยโลกก็จะเคลื่อนที่หนีไปอยู่ดี…

เมื่อโลกหมุน อายุ อันหมายถึงสภาพร่างกาย เงินเฟ้อ อันหมายถึงความมั่นคง และความรู้สึกอันหมายถึงความสัมพันธ์ เหล่านี้เสื่อมถอยเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกก็ต้องยอมรับทำความเข้าใจ และอยู่ได้บนแรงโน้มถ่วงเช่นนี้…

อาจพูดได้เพียงว่า เป็นกำลังใจให้เรา มนุษย์โลก…

https://siricแหล่งอ้างอิง haiwatt.com/%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b9%86/%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b9%86/outside-the-circle/%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%9b%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87#google_vignette

 

                     ชีวิตรัก กับ ชีวิตคู่

by

| Home » บทความความรัก » ชีวิตรัก กับ ชีวิตคู่ |


ถ้าบอกว่า “ชีวิตคู่ มันไม่ใช่แค่รักกัน” คนที่เคยผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้างย่อมพยักหน้า หรือประโยคที่ว่า “พออยู่ด้วยกัน มันไม่เหมือนแค่ตอนเป็นแฟนกัน” อาจทำให้พอเข้าใจบางอย่างได้ดีขึ้น…

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดูมีประโยชน์หรือน่าสนใจอะไรกับผู้ที่ “เคยผ่านภาวะต้องเข้าใจ” มาแล้ว แต่คนที่ไม่เคยหรือย้อนนึกไปตอนที่เรายังไม่เจอเหตุการณ์ ประสบการณ์ หรือบทเรียนที่ทำให้เราเข้าใจ มันเป็นเรื่องที่ยากจะมองเห็นหรือรู้ตัวได้ในตอนนั้น…

หลายคู่แรกเริ่มคบกันต่างเคยมีเวลาให้กัน ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกัน แต่ทุกอย่างมีเวลา มีขั้น มีภาวะของมัน และบนคำว่า “ชีวิตคู่” นั้นก็สรุปยากว่ามันเริ่มตรงไหน ส่วน “ชีวิตรัก” นั้นมันต่างกันอย่างไร อยู่ด้วยกันไม่ต้องรักกันแล้วงั้นหรือ อะไรคือความต่าง?

ช่วงที่ดีที่สุดของการคบกัน

ผมจำเหตุการณ์หนึ่งได้ดี ที่เป็นครั้งแรกทำให้ฉุกคิดมุมนี้ ตอนนั้นเป็นสมัยเรียนมัธยม จำไม่ได้ว่าบทสนทนานี้เริ่มจากตรงไหน แต่มีเพื่อนคนหนึ่งถามครูคณิตศาสตร์ (ผู้หญิงสถานะโสด) ว่าทำไมครูยังไม่แต่งงาน (ที่จริงก็แอบซุปซิบกันว่าครูคนนี้คบกับครูอีกท่านหนึ่งอยู่) ครูตอบว่า “แต่งทำไม มีแต่แฟนนี่ดีที่สุดแล้ว…” ครูพูดไปยิ้มไปอธิบายทำนองว่า ภาวะเป็นแฟน เราจะงอนเขาก็ง้อ อยากได้อะไรเขาก็จะตามใจ ยิ่งตอนมาจีบ ได้ทุกอย่าง ครูพูดเหมือนติดตลกว่า “ไม่แต่งหรอกมีแฟนไปเรื่อย ๆ ดีกว่า” เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ก็คล้อยตามถึงข้อดีรวมถึงผม ทั้งที่ในเวลานั้นเราล้วนไม่มีประสบการณ์อะไรเรื่องเหล่านี้กันมากนัก

ยากจะปฏิเสธว่านี่คือช่วงที่ดีที่สุดของการคบกัน อาจสรุปไม่ได้ทางภาษาว่าช่วง “เป็นแฟน” เพราะเราใช้คำว่า “แฟน” ได้ในทุกสถานะ แต่คงเข้าใจไม่ยากว่าคือช่วง “ใหม่ ๆ” ซึ่งก็ตัดสินไม่ได้อีกต่างหากว่า “ยังใหม่” ใช้เวลานานเท่าใด บางคู่ เพียงเดือนเดียว บางคู่เป็นปี อยู่ที่การใช้เวลา การมีระยะต่อกัน และนิสัยใจคอของแต่ละฝ่าย

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด

แต่ช่วงนี้คือช่วงที่ต่างทั้งมีอารมณ์ลุ่มหลง ต่างดื่มด่ำ ต่างมองแต่สิ่งดี ๆ ต่างพร้อมที่จะให้ และยอม ซึ่งหากพิจารณาแล้วสิ่งที่แสดงออกในตอนนั้นมีหลายเรื่องที่อาจเป็นสิ่งชั่วคราว และนั่นจึงทำให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดด้วยเช่นกัน

ชีวิตรัก กับ ชีวิตคู่

กล่าวกันแบบไม่คิดมากทางข้อจำกัดของภาษา “ชีวิตรัก” คือการใช้ชีวิตร่วมกันในช่วงภาวะที่มีอารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวข้องสูงและเพิ่งคบกันไม่นาน ส่วน “ชีวิตคู่” คือการใช้ชีวิตในภาวะที่ปกติแบบชีวิตต้องดำเนินไป ใช่ว่าสองแบบนี้จะแยกกันขาดชัดเจนหรือเป็นขั้วตรงข้ามกัน แต่น้ำหนักของบางอย่างจะเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปได้เสมอ

ช่วงชีวิตรัก : เหตุผล และปัจจัย ของตัวเราจะน้อยกว่าหรือบางทีแทบจะไม่มีเลย ลืมไปเลย พร้อมจะยอม จะมอบ จะแบ่งให้เขา ความสำคัญของเรื่องอื่น/คนอื่นดูจะน้อย

แหล่งอ้างอิงhttps://sirichaiwatt.com/%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81/%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81-%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%84%e0%b8%b9%e0%b9%88

 

เป้าหมายระยะสั้น อาจสำคัญกว่าต้อง SMART

บ่อยครั้งกับเรื่อง “เป้าหมาย” ที่บทความหรืออะไรที่เกี่ยวกับการพัฒนาตนเองมักเน้นเสมอ และอาจได้ยินบ่อย ๆ ว่า เป้าหมายที่ดีต้อง SMART* หลายคนอาจเริ่มเบื่อ หลายคนเริ่มสงสัยว่าสำคัญขนาดนั้นหรือ หลายคนเริ่มเข้าใจ แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเป้าหมายแบบไหน ก็มักคล้ายก่อกองทรายที่ไม่นานก็พังทลายลง เพราะบางทีเป้าหมายระยะสั้นอาจจำเป็นกว่า

ขอยกตัวอย่างแบบกระชับ “อยากมีเงินเก็บ 1 ล้านไหม?” สำหรับคนที่ยังติดลบ, เดือนชนเดือน หรือแต่ละเดือนเหลือไม่กี่ร้อย คงตอบว่า “อยาก.. (แบบถอนหายใจ)” เพราะมันสะท้อนถึงความรู้สึกไกลเกินจริง นี่คืออุปสรรคแรก ทันทีที่เรามองปัจจุบัน ก็ประเมินได้ว่า “อย่าดีกว่า” กับเป้าหมายนั้น ซึ่งก็ใช่ อะไรที่เกินตัวมันดูเพ้อฝัน

ครั้นพอบอกว่า “อยากมีเงินเก็บ 5 พันไหม?” เราคนเดิมก็ส่ายหัว เพราะรู้สึกเสียเวลา แค่นี้แป๊บเดียวก็หาได้ ซึ่งก็ใช่… แต่เอ๊ะ!! มันย้อนแย้งไหม? ในเมื่อเดิมแต่ละเดือนเหลือไม่เท่าไรแล้วทำไม 5 พันคิดว่าทำได้ คำตอบในหัวอาจมีหลากหลาย แต่อย่างหนึ่งที่คงแอบคิดในใจคือ “ก็มันไม่มากเท่าไร..”

คำถามที่อยากชวนคิดต่อ แล้วก่อนจะไป 1 ล้านเราต้องผ่าน 5 พันก่อนไหม?.. ใช่มันต้องผ่าน!

อีกคำถามต่อเนื่อง แล้ว 200 ล่ะมากไหม?.. เทียบกับ 1 ล้าน หรือ 5 พัน มันก็ไม่มากอะไร

งั้น.. คิดดูนะ 5 พัน 200 ครั้ง มันก็ได้ 1 ล้านแล้ว…

ถึงตรงนี้ หลายคนอาจใจพองขึ้นมา หลายคนฉุกคิด หลายคนพยักหน้า สรุปเลยแล้วกันว่า อย่าเพิ่งไปคิด 1 ล้าน คิดเก็บทีละ 5,000 ไปให้ได้สักพักก็ใกล้เคียงความจริงได้แล้ว ความเป็นไปได้ชัดเจนขึ้นไหม?

เป้าหมายระยะสั้น และ ระยะยาว

จากตัวอย่างคงพอเห็นได้ว่า เป้าหมายแท้จริงมักยาว, ไกล, และยิ่งใหญ่เสมอ เพราะถ้ามันเป็นเรื่องเล็กเรื่องง่าย เราก็ไม่อยากนับมันว่าเป็นเป้าหมายคล้ายกับ 5 พัน และนั่นเอง คือสิ่งที่หลงลืมไป เพราะแท้ที่จริงแล้วสำหรับหลายคน ก่อนจะ 5 พันมันก็ต้อง 5 ร้อยมาก่อน เราจะเดิน 10 กิโล ก็ต้องมีก้าวแรกมาก่อน จะว่าไปเรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้ แต่มันสำคัญตรง “ทัศนคติ” และมุมมองต่อเป้าหมาย ที่ไม่ต้องอาศัยเรื่อง S.M.A.R.T. ก็ได้ด้วยซ้ำ

ถ้าเป้าหมายระยะยาวมันอยู่ไกล เสมือนเห็นทางไกลแล้วท้อ ก็อย่าเพิ่งไปเพ่ง ไปมองมากนัก แต่ต้องมีไว้ มิเช่นนั้นเราก็ไม่สามารถแบ่งมันออกมาตั้งเป็น “เป้าหมายระยะสั้น” ที่พอให้เรามองเห็นได้, ตั้งใจ และทำได้ อาจเป็นเหมือนหลักกิโลที่สะสมระยะทาง ซึ่งการสะสมใด ๆ สิ่งที่ยากคือความสม่ำเสมอ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ก็คือการสะสมของทุกความสำเร็จเล็กน้อยเข้าด้วยกันจนมากขึ้น…

การพัฒนาตนเองก็เริ่มจากการทำสิ่งหนึ่งซ้ำ ๆ.. แต่ต้องทำให้สำเร็จ ไม่ใช่แค่ได้ทำ “แผนงาน-แผนการ” (Plan) บางทีจึงไม่สำคัญเท่า “รายการที่ต้องทำ (To-do lists)” แค่ในวันนี้ แล้วทำให้สำเร็จเสียก่อน

ยิ่งชีวิตสับสน ปัจจัยมาก จะอ้างอย่างไรก็ได้ ก็แค่ให้รู้ว่าเป้าหมายระยะสั้นตอนนี้มีอะไร ทำไปทีละเรื่อง ทีละอย่าง อย่างไรก็พัฒนา แต่หากมีเป้าหมายระยะยาวประเภทคาดหวังว่าพรุ่งนี้โลกจะต้องเปลี่ยนไป ก็ไม่ต่างกับการฝันถึงเงินล้านวันพรุ่งนี้ให้ได้ ในขณะที่ทั้งเดือน 5 พันยังลำบาก เช่นนี้ไม่มีใครหลอกเรา เราหลอกตัวเอง ไม่มีใครทำให้เราท้อ เราบั่นทอนตัวเอง..

และหรือที่จริงเป้าหมายระยะไหนก็ไม่สำคัญ อยู่ที่ใจเรามองมันอย่างไร ว่าชีวิตต้องการอะไร แล้ววันนี้เราทำอะไร…

*การกำหนดเป้าหมายแบบ S.M.A.R.T. (SMART Goal)  (บทเสริม)

การกำหนดเป้าหมายที่ดีมีหลักการหนึ่งคือ การกำหนดเป้าหมายแบบ S.M.A.R.T. หรือ SMART goal กล่าวคือต้องประกอบไปด้วย

S: Specific = จำเพาะเจาะจง มีความชัดเจนเข้าใจได้ว่า เรื่องอะไร หรือจะไปไหน ได้แค่ไหน เรื่องใด สิ่งใด ไม่เช่นนั้นก็จะคลุมเครือ เข้าใจยาก สับสน เช่น มีเป้าหมายหลายเรื่องรวมกัน ปัจจัยมาก ควบคุมยาก ทำจริงก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

M: Measurable = วัดผลได้ เพราะการตั้งเป้าหมายที่วัดไม่ได้ก็เลื่อนลอย เช่น อยากรวย แค่ไหนคือคือรวย?  อยากเดินทางไกล ไกลคือกี่กิโล?  เมื่อไม่รู้จำนวน ตอนลงมือทำจริงก็จะยาก เพราะวางแผนไม่ได้ หาเส้นชัยไม่เจอ

A: Achievable = ทำได้จริง ก็ต้องไม่ลืมดูศักยภาพกับสิ่งที่มีอยู่ ว่าเหมาะสมกับเป้าหมายนั้นไหม ฝันใหญ่เป็นเรื่องดี แต่บางทีก็มีเส้นบาง ๆ ระหว่างฝันไกล กับฝันเฟื่อง

R: Relevant = สมเหตุสมผล หรือเชื่อมโยง แม้ว่าจะทำได้จริง วัดผลได้ แต่บางเป้าหมายก็ไม่จำเป็น ไม่เหมาะสม หรือดีต่อเราจริงในระยะยาว พูดง่าย ๆ ก็แค่ชวนให้ทบทวนว่าเป้าหมายนี้คือสิ่งที่เราต้องการแท้จริงหรือไม่

T: Time-bound = เงื่อนเวลา ที่จะมาเป็นกรอบชี้ให้เราเห็นว่าเป้าหมายนี้จะเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใดตั้งแต่ตั้งเป้าหมาย ไปจนถึงพิจารณาได้ทันทีว่าขาดพร่องหรือต้องเติมเรื่องใดเพื่อให้เป้าหมายเป็นจริงได้ เพราะหากไม่มีเวลากำกับ ก็ลำดับความสำคัญไม่ได้ มันก็ผ่านไปเหมือนกับเป้าหมายไม่เคยมีอยู่ดี

จากทั้งหมดจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องสอดคล้องกัน การตั้งเป้าหมายให้ SMART เป็นการตั้งเป้าหมายที่ดีมาก เพราะอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงในทุกด้าน คนที่วางแผนบ่อย ๆ ไม่จำเป็นต้องมานั่งไล่เรียงสิ่งเหล่านี้ เพราะจะมีอยู่ในหัวอยู่แล้วเหมือนทักษะติดตัว (Passive skill) แต่คนที่ไม่เคย ไม่เข้าใจ อาจต้องค่อย ๆ ดูไปทีละข้อ เพียงแต่..

สำหรับหลายคนที่ง่าย ๆ กับชีวิตมานาน จะเปลี่ยนไปวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน คิด วิเคราะห์ไกลให้ทำก็คงไม่ชอบ ไม่อยาก ไม่ถนัด (ไม่งั้นคงไม่เป็นเช่นนี้) เอาเป็นว่าวางแผนใกล้ ๆ พรุ่งนี้ควรทำอะไรให้สำเร็จสักอย่างเป็นใช้ได้ สำเร็จทุกวันไม่ก้าวหน้าให้รู้ไป จึงเป็นเหตุให้เป้าหมายระยะสั้น อาจสำคัญกว่า S.M.A.R.T.

 แหล่งอ้างอิง https://sirichaiwatt.com/%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b9%86/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%92%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%87/%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a2%e0%b8%b0%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%84%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%81

 

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

 ชื่อ ธนนันท์ วงกอ

ชั้น 6/1เลขที่1 โรงเรียนวชิรป่าซาง

เบอร์โทรศัพท์0957015500อีเมล์thanana1148@gmail.com  

 สีที่ชอบม่วง

คติประจำใจนิ่งเป็นหลับขยับเป็นเล่น     

คุณใจเกเรมากแค่ไหน🥵👉🏻👌🏻(มีคำหยาบนะครับ^^) - Quiz.Postjung.com

ชื่อ  นายธนภัทร สิทธิบัว

ม.6/1 เลขทีี่2 โรงเรียนวชิรป่าซาง

ที่อยู่152 ม.4 ต.นครเจดีย์ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน

0943508801 tsiththibaw@gmail.com


สีที่ชอบ เขียว

คติประจำใจ เก่งขึ้นในทุกๆวัน

#เพื่อการเรียนการศึกษา

คู่ขวัญ 'เร ลิล แบล็ก' โคจรพบ 'จอร์ดี้' ทำเอากระหึ่มออนไลน์ | WeR NEWS |  LINE TODAY